
เคลือบแก้ว VS ติดฟิล์มกันรอย วิธีไหนที่ดูแลรักษารถยนต์ได้สูงสุด

การดูแลรักษารถยนต์เพื่อให้สวยงามและคงทนไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันรอยขีดข่วนและการรักษาความเงางามของผิวรถยนต์ ที่มีการเลือกใช้วิธีการต่าง ๆ อย่างเช่น เคลือบแก้ว และ ติดฟิล์มกันรอย ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบระหว่างการ เคลือบแก้ว กับการ ติดฟิล์มกันรอย เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับรถยนต์ของคุณมากที่สุด
1. เคลือบแก้ว (Ceramic Coating)
คลือบแก้ว หรือ เซรามิกโค้ทติ้ง เป็นการใช้สารเคลือบที่มีส่วนผสมของซิลิกา (SiO2) และสารเคลือบชนิดพิเศษที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศต่าง ๆ สารเคลือบนี้จะสร้างชั้นฟิล์มบาง ๆ บนผิวรถยนต์ที่สามารถปกป้องรถจากรอยขีดข่วน, รอยด่าง, คราบน้ำ และคราบสกปรกต่าง ๆ ได้ดี
คุณสมบัติหลักของเคลือบแก้ว (จุดเด่น)
- เพิ่มความแข็งแรง และความทนทานต่อมลภาวะภายนอกให้กับสีรถ
- ลดโอกาสเกิดรอยขีดข่วนในระดับ Micro Scratches เช่น รอยขนแมวต่าง หรือรอยขีดข่วนเล็กน้อย
- ป้องกันคราบน้ำ คราบด่าง คราบมูลนก ยางไม้ หรือสิ่งสกปรกที่อาจฝังแน่นบนพื้นผิว
- เพิ่มความลื่นและความเงางามให้กับพื้นผิว (Gloss & Smooth Finish)
- มีคุณสมบัติ Hydrophobic ทำให้น้ำกลิ้งตัวและชะล้างสิ่งสกปรกได้ง่ายกว่าพื้นผิวที่ไม่ได้เคลือบ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเคลือบแก้วจะมอบคุณสมบัติในการปกป้องได้ในระดับนึง แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นบางประการ ที่การเคลือบแก้ว ไม่สามารถทำได้ เช่น
ข้อยกเว้นบางประการ (จุดสังเกต)
- การป้องกันพวกเศษหิน หรือ วัสดุต่างๆที่อาจะมากระทบระหว่างการใช้งานบนท้องถนนในขีวิตประจำวัน
- รอยกระแทก หรือ รอยขูดขีดต่างๆ เวลาจอดรถในที่สาธารณะ อย่างเช่นการเปิดประตูของรถคันที่จอดติดกัน
- การเคลือบแก้วอาจต้องมี การเคลือบซ้ำหรือเติมชั้นโค้ทเสริม (Top-Up Coating) ในช่วงเวลาที่เหมาะสมตามการใช้งาน โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่เลือกและการดูแลรักษาหลังเคลือบ Ceramic Coating
กล่าวโดยสรุป การเคลือบแก้วเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลรักษาผิวสีรถให้ดูใหม่ เงางามและ ล้างทำความสะอาดง่าย


2. ฟิล์มกันรอย (Paint Protection Film)
ฟิล์มกันรอยรถยนต์ (TPU) คือฟิล์มพลาสติกชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติ ยืดหยุ่นสูง แข็งแรง และใสเป็นพิเศษ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน, เศษหินกระเด็น, คราบแมลง, ยางมะตอย, น้ำยาล้างรถที่มีฤทธิ์กัดกร่อน รวมถึงมลภาวะที่ส่งผลเสียต่อสีรถในระยะยาว
ข้อดีของ ฟิล์มใสกันรอย
- ป้องกันสะเก็ดหิน, รอยขีดข่วน และแรงกระแทกได้ดี โดยเฉพาะบริเวณที่มีโอกาสโดนสูง เช่น ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า กระจกมองข้าง และกระจกบังลมหน้า
- คุณสมบัติ Self-Healing เมื่อมีรอยขนแมว หรือรอยขีดข่วน ฟิล์มสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยความร้อนจากแสงแดด
- ทนต่อสารเคมีและคราบสกปรก ช่วยลดโอกาสเกิดคราบฝังแน่น เช่น ยางไม้ มูลนก หรือน้ำยาล้างรถที่เป็นกรด
- เพิ่มความเงางามให้สีรถ โดยฟิล์มใสคุณภาพสูงจะไม่ทำให้สีรถหม่นหมอง
- ไม่ทำลายสีเดิมของรถ และสามารถลอกออกได้โดยไม่ทิ้งคราบกาวเมื่อครบอายุการใช้งาน จึงทำให้รถดูใหม่เสมอ
นอกจากข้อดีที่ได้กล่าวไว้ข้างตัน แต่ฟิล์มใสกันรอย ก็ยังมีข้อควรระวังหรือข้อเสียด้วยดังนี้
ข้อเสียของ ฟิล์มใสกันรอย
- หากเลือกใช้ฟิล์มคุณภาพต่ำ ฟิล์มจะไม่สามารถป้องกันรอย หรือ แม้แต่แสง UV ที่อาจมาทำร้ายสีรถ และยังจะส่งผลกระทบ หลังจากที่ลอกฟิล์มออก เช่น คราบกาวจากฟิล์มคุณภาพต่ำ ที่อาจจะทำลายสีรถไปเลย
- ต้องติดตั้งโดยเครื่องมือ และวิธีที่ถูกต้อง โดยช่างมืออาชีพที่มีประสบการณ์โดยตรง และผ่านการอบรมการติดตั้งฟิล์มใสกันรอยโดยเฉพาะ เพราะการติดตั้งที่ผิดวิธี จะสร้างผลลัพธ์ที่เสียหายตามมามากมาย
ซึ่งที่ Wrap a Car เราคือศูนย์บริการดูแลรถยนต์ชั้นนำมาตรฐานสากล และเราเลือกใช้ ฟิล์มกันรอยรถยนต์ ที่มีคุณภาพสูง ผู้ที่รักรถทุกท่านมั่นใจได้ว่าจะได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพสูงสุด ทำให้คุณไม่ต้องกังวลเรื่องสีรถยนต์ และรอยขีดข่วน
CONTACT US
- Mobile : 088-588-7777 K.Por , 081-696-0707 K.Bay
- Line: @wrapacar
- Facebook: Wrap A Car